จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่ 7 รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนการสอนของไทย




รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนการสอนของไทย



1.1      รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์  พัฒนาโดยสุมน  อมรวิวัฒน์
1.2      รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างหลักศรัทธาและโยนิโสมนสิการ  พัฒนาโดยสุมน  อมรวิวัฒน์
1.3      รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเป็นเพื่อดำรงชีวิตในสังคมไทย  พัฒนาโดยหน่วยศึกษานิเทศก์  กรมสามัญศึกษา
1.4      รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (CIPPA)  พัฒนาโดยทิศนา  แขมมณี
*******************************************************************************************
1.1      รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์  พัฒนาโดยสุมน  อมรวิวัฒน์
               ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย ทั้งสุข ทุกข์ สมหวัง และผิดหวัง  ดังนั้นการจัดการศึกษาควรช่วยให้ผู้เรียนได้เผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น  และสามารถเอาชนะปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นได้  โดย เผชิญ คือ การเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาวะที่ต้องเผชิญ  ผจญ  คือ การเรียนรู้วิธีการต่อสู้กับปัญหาอย่างถูกต้องและมีหลักการ  การผสมผสาน คือ การเรียนรู้ที่จะผสมผสานวิธีการต่าง ๆ  เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาให้สำเร็จ  และการเผด็จ คือ การลงมือแก้ปัญหาให้หมดไป โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาสืบเนื่องต่อไปอีก
                    สุมน  อมรวิวัฒน์  ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนจากแนวคิดนี้ผสมผสานกับหลักพุทธธรรมเกี่ยวกับการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนัสิการ และจัดเป็นกระบวนการเรียนการสอนขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งมีกระบวนการดังนี้
               ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย ทั้งสุข ทุกข์ สมหวัง และผิดหวัง  ดังนั้นการจัดการศึกษาควรช่วยให้ผู้เรียนได้เผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น  และสามารถเอาชนะปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นได้  โดย เผชิญ คือ การเรียนรู้ที่จะเข้าใจภาวะที่ต้องเผชิญ  ผจญ  คือ การเรียนรู้วิธีการต่อสู้กับปัญหาอย่างถูกต้องและมีหลักการ  การผสมผสาน คือ การเรียนรู้ที่จะผสมผสานวิธีการต่าง ๆ  เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาให้สำเร็จ  และการเผด็จ คือ การลงมือแก้ปัญหาให้หมดไป โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาสืบเนื่องต่อไปอีก
                    สุมน  อมรวิวัฒน์  ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนจากแนวคิดนี้ผสมผสานกับหลักพุทธธรรมเกี่ยวกับการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนัสิการ และจัดเป็นกระบวนการเรียนการสอนขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งมีกระบวนการดังนี้
1 .ขั้นนำการสร้างศรัทธา  ผู้สอนจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสมกับเนื้อหาของบทเรียน และเร้าใจให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของบทเรียน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน แสดงความรัก ความเมตตา ความจริงใจต่อผู้เรียน
2. ขั้นสอน  มีการนำเสนอสถานการณ์ปัญหา หรือกรณีตัวอย่างมาฝึกทักษะการคิดและปฏิบัติในการกระบวนการเผชิญสถานการณ์  ฝึกทักษะการแสวงหาและรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้และหลักการต่าง ๆ  ฝึกสรุปประเด็นสำคัญ ฝึกการประเมินค่า เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหา  โดยวิธีคิดหลาย ๆ วิธี  (โยนิโสมนสิการ)  ได้แก่ การคิดสืบสาวเหตุปัจจัย การคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ การคิดแบบสามัญลักษณ์ คิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ การคิดแบบคุณโทษทางออก คิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม คิดแบบใช้อุบายปลุกเร้าคุณธรรม และคิดแบบเป็นอยู่ในปัจจุบัน  ฝึกทักษะการเลือกและตัดสินใจในการฝึกการประเมินค่าตามเกณฑ์ที่ถูกต้อง ดีงาม เหมาะสม ฝึกการวิเคราะห์ผลดี ผลเสียที่เกิดขึ้นจากทางเลือกต่าง ๆ แล้วนำมาลงมือปฏิบัติตามทางเลือกที่ได้เลือกไว้ ผู้สอนให้คำปรึกษาแนะนำฉันกัลยาณมิตร โดยปฏิบัติให้เหมาะสมตามหลักสัปปุริสธรรม 7
3. ขั้นสรุป  ผู้เรียนแสดงออกด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การพูด เขียน หรือกระทำในรูปแบบต่าง ๆ  ที่เหมาะสมกับความสามารถและวัย  ผู้เรียนและผู้สอนช่วยกันสรุปบทเรียน  ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
                    รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์นี้ ถ้าเรานำมาประยุกต์ก็จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการเผชิญทักษะ และสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม
ที่มา :  ทิศนา  แขมมณี. ศาสตร์การสอน. (2552). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

********************************************************************************************
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างหลักศรัทธาและโยนิโสมนสิการ  พัฒนาโดยสุมน  อมรวิวัฒน์
 ความหมาย           
 การจัดการเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ  เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดที่ถูกวิธี  คิดเป็นหรือคิดอย่างมีระเบียบ  รู้วิธีหาเหตุผล สืบสาว  แยกแยะปัญหาได้  โดยไม่เอาอุปทานของตนเอาไว้จับ   โยนิโส       แปลว่า        เหตุ  ต้นเหตุ   ต้นเค้า  แหล่งเกิดปัญญา  อุบาย   วิธีการ   มนสิการ   แปลว่า   การทำในใจ  การคิด  การคำนึง  ใส่ใจ  พิจารณาเมื่อรวมเป็น         โยนิโสมนสิการ    หมายถึง     การทำใจโดยแยบคาย 
วัตถุประสงค์            
๑.   เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการใช้ความคิดอย่างถูกวิธี  คิดเป็น   คิดอย่างมีระเบียบ   รู้วิธีหาเหตุผล  ตลอดจนสามารถแยกแยะปัญหาได้ด้วยตนเอง               
๒.   เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ทักษะมาใช้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน 
หลักการ            
การจัดการเรียนรู้โดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ  ผู้สอนเป็นบุคคลสำคัญ  ที่จะต้องจัดสภาพแวด  สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้  และได้ฝึกฝนวิธีการคิดโดยแยบคายเน้นให้ผู้สอนและผู้เรียน   มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและกัน  ผู้เรียนมีโอกาสแสดงออก  นำไปสู่การปฏิบัติอย่างถูกวิธี  จนสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม 
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้            
๑.   ขั้นนำ     (  เสริมสร้างปัญญา  )                               
๑.๑   จัดบรรยากาศในชั้นเรียนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้    ซึ่งต้องมีลักษณะ 
- มีความสงบใกล้ชิดธรรมชาติ  ให้ผู้เรียนได้สัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ให้ผู้เรียนได้สัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ   ใช้แหล่งวิทยากรในชุมชน   ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรง    
 - สภาพชั้นเรียน  แปลกใหม่ไม่จำเจ   บริเวณห้องเรียน  โรงเรียนสะอาดมีระเบียบเรียบร้อย                            
  - สร้างบรรยากาศ  ที่ชวนให้สบายใจ  ไม่มีการข่มขู่บังคับ
๑.๒  สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน--   ผู้สอนต้องปฏิบัติตัวเป็นกัลยาณมิตรกับผู้เรียน    คือต้องมีสำรวมกาย   น่าเชื่อถือศรัทธา    สง่า  สะอาด  แจ่มใส  มีความรู้มีคุณธรรม --  สั่งสอนผู้เรียนด้วยความรักและเป็นที่พึ่งของผู้เรียน อย่างแท้จริง                               
๑.๓  ผู้สอนนำเสนอสิ่งเร้าและแรงจูงใจ   เช่นใช้วิธีตรวจสอบความคิด  และความสามารถของผู้เรียน ก่อนสอน  เป็นการเสริมแรงเร้าให้เกิดความมานะ  พากเพียร  ใส่สื่อกิจกรรมที่น่าสนใจ               
 ๒.     ขั้นสอน
๑.      ผู้สอนเสนอปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของบทเรียน  โดยใช้วิธีนำเสนอที่หลากหลาย   และท้าทายความคิด
๒.    ผู้สอนแนะนำแหล่งเรียนรู้อย่างกว้างขวาง
๓.    ให้ผู้เรียนฝึกการรวบรวมข้อมูล   โดยการ ทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบ
๔.    ผู้สอนจัดกิจกรรมเร้าให้ผู้เรียนเกิดความคิดวิธีต่าง ๆ  เช่นใช้คำถามอย่างเหมาะสมเพื่อเร้าให้เกิดความคิด
๕.    ให้ผู้เรียนฝึกการสรุปประเด็นของข้อมูล     เพื่อหาทางเลือกวิธีแก้ปัญหาโดยการฝึกกระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม  แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
๖.     ให้ผู้เรียนเลือกและตัดสินใจ   การลงมติร่วมกันภายในกลุ่ม
๗.    ให้ผู้เรียนฝึก ปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์การเลือก  ให้ตรงกับแผนและบันทึกข้อมูลให้เป็นระเบียบ
 ๓.   ขั้นสรุป
๑.      ครูและนักเรียนร่วมกันสังเกตวิธี ปฏิบัติ  ตรวจสอบปรับปรุงแก้ไข
๒.    ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย และสอบถามข้อสงสัย
๓.    ครูละนักเรียนร่วมกันสรุปการเรียนรู้   เช่นใช้การอภิปรายกลุ่ม และสรุปสาระสำคัญ
๔.    ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้

ข้อดีและข้อจำกัดในการจัดการเรียนรู้โดยสร้างศรัทธา  และโยนิโสมนสิการ
ข้อดี
๑.      เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะด้านการคิดหาเหตุผลอย่างเป็นระบบ
๒.    ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจนเกิดปัญญาด้วยตนเอง
๓.    เสริมสร้างบรรยากาศที่เป็นกัลยาณมิตรต่อกันระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
๔.    ฝึกความเป็นประชาธิปไตยบนพื้นฐานของความเป็นเหตุผล  และเสริมสร้างปัญญาให้กับผู้เรียน  โดยการจัดลำดับการฝึกคิด  โดยใช้หลักการชั้นสูง
ข้อจำกัด
๑.      ผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจในวิธีการจัดการเรียนรูอย่างลึกซึ้ง๒.    ผู้สอนต้องมีศรัทธา ปละมีความเป็นกัลยาณมิตรสูง   การสอนในลักษณะนี้จะเป็นการฝึกผู้เรียนให้รู้จักคิด   เกิดความคิดสร้างสรรค์สามรถนำไปแก้บัญหาประจำวันได้ส่วนครูผู้สอนก็จะเป็นผู้มีความเป็นกันเอง  ใจดีมี เมตตา  โอบอ้อมอารี  เกิดความ ผูกพันธ์     และสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน สมควรและเหมาะอย่างมากในแนวการจัดการเรียนรู้ของไทยที่เน้นให้เด็กเป็นคนดี   เก่งและมีความสุข 

*************************************************************************************************
1.3      รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเป็นเพื่อดำรงชีวิตในสังคมไทย  พัฒนาโดยหน่วยศึกษานิเทศก์  กรมสามัญศึกษา
การคิดเป็นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทย
"คิดเป็น มาจากแนวคิดที่ว่า ธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนต้องการความสุข คนคิดเป็นจะสามารถดำรงชีวิต ให้พบความสุขได้" 
มนุษย์มีจิตสำนึกที่จะใคร่ครวญ และแสวงหารากเหง้าที่มาของปัญหาและความทุกข์ และพิจารณาทางเลือก และหาคำตอบต่างๆ เพื่อจะได้ตัดสินใจกระทำการหรือไม่ ในการแสวงหาคำตอบแทนที่จะยอมจำนนต่อปัญหา หรือโชคชะตา โดยกระบวนการที่จะพัฒนาการคิดเป็นให้กับบุคคลตามทฤษฎีการ "คิดเป็น" ซึ่งจะเป็น กระบวนการตัด และตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยข้อมูล 3 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลตนเอง ข้อมูลสังคมสิ่งแวดล้อม และข้อมูลวิชาการ มาประกอบการตัดสินใจ 
กระบวนการคิดเป็น จึงเป็นเป็นการทำให้บุคคลได้เข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ว่า ตนเองเป็นใคร และอะไรคือสิ่งที่ตนเองต้องการ รวมทั้งการเข้าใจสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมที่ตนเองดำรงชีวิต และสามารถนำข้อมูลวิชาการที่มีอยู่มาประกอบการคิดและตัดสินใจ โดยวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างเป็นระบบ ภายใต้หลักการ เหตุผล หลักคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติจนเกิดความพึงพอใจ เป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมคิดเป็น เป็นคนดี คนเก่ง และพบกับความสุขได้ในที่สุด ศาสตราจารย์ อุ่นตา นพคุณ ได้สรุปความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับ การคิดเป็น มี 4 ประการ ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจกระบวนการคิดเป็นได้อย่างชัดเจน คือ 
§  ประการที่ 1 มนุษย์ทุกคนต้องการความสุข
§  ประการที่ 2 การใช้ข้อมูล 3 ประเภท พร้อมกันประกอบการคิดแก้ไขปัญหา
§  ประการที่ 3 เป็นการคิดเพื่อการตัดสินใจแก้ไขปัญหา
§  ประการที่ 4 มนุษย์มีเสรีภาพในการตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง
คิดเป็น จึงเป็นกระบวนการที่จะทำให้มนุษย์กำหนดปรัชญาในการดำรง ชีวิตของตนเองในแต่ละด้านว่า ตนเองเป็นใคร ควรทำอะไร ทำทำไม ทำอย่างไร ทำเพื่อใคร ซึ่งทั้งหมดต้องเป็นสิ่งที่ตนเองต้องการ และนำกระบวนการคิดเป็นนั้นไปสู่ปรัชญาที่กำหนดให้สำเร็จ และในที่สุดก็จะสามารถนำพาชีวิตไปถึงเป้าหมายสูงสุด คือ ความสุข ซึ่งเป็นปรัชญาชั้นสูงสุดในการดำรงชีวิตมนุษย์ที่จะทำให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพได้ 

ความเชื้อพื้นฐานเกี่ยวกับ "การคิดเป็น" 
1.    มนุษย์ทุกคนต้องการความสุข ข้อตกลงเบื้องต้นของการ "คิดเป็น" คือ มนุษย์ทุกคนต้องการความสุข คือ เชื่อว่าคนเราจะมีความสุข เมื่อคนเราและสังคมสิ่งแวดล้อม ประสมกลมกลืนกันอย่างราบรื่นทั้งทางวัตถุ กาย ใจ และมนุษย์จะไม่มีความสุขเมื่อมีปัญหา ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเกิดช่องว่างระหว่างสภาพการณ์และสิ่งที่เขามีอยู่จริง ปัญหาในช่วงชีวิตมนุษย์แต่ละคนเป็นเรื่องสลับซับซ้อน และเกี่ยวโยงถึงปัจจัยต่าง ๆ การคิดที่ใช้ข้อมูลประกอบการคิดเพื่อแก้ไขปัญหา และเกิดความพึงพอใจ
2.    การคิดเป็น เป็นการคิดเพื่อแก้ปัญหา เนื่องจากการคิดมีจุดเริ่มที่ตัวปัญหา และพิจารณาไตร่ตรองถึงข้อมูล 3 ประการ คือ ข้อมูลตนเอง ข้อมูลสังคมสิ่งแวดล้อม และข้อมูลทางวิชาการ ต่อจากนั้นก็ลงมือกระทำการ ถ้าหากกระทำการ ทำให้ปัญหาและไม่พอใจหายไป กระบวนการคิดจะยุติลง แต่ถ้าหากบุคคลยังรู้สึกไม่พอใจ ปัญหายังคงมีอยู่ ก็จะเริ่มกระบวนการคิดอีกครั้ง
3.  การใช้ข้อมูล 3 ประเภท พร้อมกันประกอบการแก้ปัญหา ตามแนวคิดเรื่องการคิดเป็น บุคคลที่จะถือว่าเป็นคนคิดเป็น จะต้องเป็นบุคคลที่ใช้ข้อมูล 3 ปรเภทไปพร้อมกันประกอบการตัดสินใจแก่ปัญหา การคิดที่อาศัยข้อมูลประเภทใดประเภทหนึ่งหรือสองประเภท ยังไม่ถือว่าบุคคลนั้นเป็นคนคิดเป็นได้สมบูรณ์แบบ
ข้อมูล 3 ประเภท ได้แก่ 1) ข้อมูลตนเอง 2) ข้อมูลสังคมสิ่งแวดล้อม 3) ข้อมูลวิชาการ
ข้อมูลตนเอง (Information of self)
ข้อมูลประเภทตนเอง ถูกกำหนดขึ้นเพราะอิทธิพลทางศาสนา ปรัชญา และจิตวิทยา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ซึ่งได้สั่งสอนให้บุคคลพิจารณาและเฝ้ามองตนเอง และแก้ไขทุกข์ด้วยตนเอง มีอิทธิพลต่อการกำหนดข้อมูลประเภทนี้ การ "คิดเป็น" ซึ่งมีจุดมุ่งหมายต้องการให้บุคคลใช้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับตนเอง ได้แก่ ข้อมูลในเรื่องสถานภาพทางเศรษฐกิจ สถานภาพทางสังคม สุขภาพอนามัย ระดับการศึกษา ความรู้ ความถนัด ทักษะ วัย เพศ และอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลประเภทนี้ต้องการให้พิจารณาจุดอ่อน จุดแข็ง ข้อดี ข้อเสียของตนเองอย่างจริงจังก่อนการตัดสินใจกระทำสิ่งใด
ข้อมูลสังคมและสิ่งแวดล้อม (Information on Society and Environment)
ธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์สังคมไม่ได้อยู่ตามลำพัง ข้อมูลประเภทนี้จึงถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้บุคคลใช้ความนึกคิด คำนึงถึงสิ่งที่อยู่นอกกาย คำนึงถึงผู้อื่น ชุมชน ตลอดจนสภาพแวดล้อมสังคมส่วนรวม หากบุคคลใช้ข้อประเภทตนเองอย่างเดียวก็จะเป็นคนเห็นแก่ตัว และเป็นคนใจแคบ ดังนั้นอิทธิพลของสังคมและสิ่งแวดล้อมจึงมีผลกระทบต่อมนุษย์เสมอ สิ่งแวดล้อมของมนุษย์ประกอบด้วยปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่ก็ส่งผลกระทบชีวิตมนุษย์ทุกคน และในทางกลับกัน การกระทำของมนุษย์ก็ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมของตัวมนุษย์ด้วย ข้อมูลสังคมสิ่งแวดล้อม อาจแยกได้เป็นข้อมูลสังคมและจิตใจ เช่น พฤติกรรมของมนุษย์ในการอยู่ในสังคมด้วยความถูกต้อง เหมาะสม และข้อมูลกายภาพ เช่น ภูมิอากาศ ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น

ข้อมูลวิชาการ (Technical or Book Knowledge)
ในความหมายของการคิดเป็น หมายถึง ข้อมูลและความรู้อันมหาศาลที่มนุษย์เราได้สะสมรวบรวมไว้เป็นเนื้อหาวิชาต่าง ๆ เป็นหลักสูตร เป็นศาสตร์ แนวคิดเรื่องการคิดเป็น ตระหนักว่า บุคคลนั้นถึงแม้ว่าจะเข้าใจตนเอง เข้าใจสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดีก็ตาม แต่ถ้าขาดข้อมูลทาวิชาการไป อาจจะเสียเปรียบผู้อื่นในการดำรงชีวิตและ การแก้ปัญหา เพราะว่าในปัจจุบันนี้โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มนุษย์และสังคมถูกเปลี่ยนเพราะความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ ดังนั้นมนุษย์จำเป็นที่จะต้องได้รับความรู้และข้อมูลทางวิชาการ มาใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดในการดำรงชีวิต จากความเชื่อพื้นฐาน เรื่องการใช้ข้อมูล 3 ประเภทพร้อมกันประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหา เป็นลักษณะเด่นของเรื่อง "คิดเป็น" การกำหนดให้ใช้ข้อมูลประเภทต่าง ๆ วิเคราะห์และหาหนทางแก้ปัญหา และเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลใช้ข้อมูลพิจารณาปัญหาจากจุดยืนหรือมิติเดียว
4.             เสรีและอำนาจการตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิตตนเอง ความเชื่อพื้นฐานข้อนี้มาจากคำสั่งสอนของพุทธศาสตร์โดยตรง และปรัชญาการศึกษาสำนักมนุษยนิยม คือพุทธศาสนา สอนว่า ปัญหาหรือความทุกข์ของมนุษย์เกิดขึ้นตามกระบวนการแห่งเหตุผล และทุกข์หรือปัญหาของมนุษย์เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ พร้อมทั้งได้ให้วิธีแก้ไขด้วย อริยสัจ 4
กล่าวโดยสรุป ความเชื่อพื้นฐานของการ "คิดเป็น" มาจากธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่าสิ่งที่เป็นยอด ปรารถนา คือ ความสุข และมนุษย์เราจะมีความสุขที่สุดเมื่อตนเอง และสังคม สิ่งแวดล้อม กลมกลืนกันอย่างราบรื่น ทั้งด้านวัตถุ กาย และใจ การที่มนุษย์เรากระทำได้ยากนั้น แต่อาจทำให้ตนเอง และสิ่งแวดล้อมประสมกลมกลืนกันได้เท่าที่แต่ละคน หรือกลุ่มคนจะสามารถทำได้ โดยกระทำดังต่อไปนี้ 
1.   ปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับสังคมสิ่งแวดล้อม
2.    ปรับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับตัวเรา
3.    ปรับปรุงทั้งตัวเราและสังคมสิ่งแวดล้อม ทั้งสองด้านให้ประสมกลมกลืนกัน
4.     หลีกสังคมและสิ่งแวดล้อมหนึ่ง ไปสู่สังคมสิ่งแวดล้อมหนึ่งที่เหมาะสมกับตน
บุคคลที่จะสามารถดำเนินการข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายข้อเพื่อตนเองและสังคมสิ่งแวดล้อมประสมกลมกลืนกัน เพื่อตนเองจะได้มีความสุขนั้น บุคคลผู้นั้นต้อง "คิดเป็น" เพราะการคิดเป็นการทำให้บุคคลสามารถแก้ไขปัญหาได้ บุคคลที่มีแต่ความจำ ย่อมไม่สามารถดำเนินการตามข้อใดข้อหนึ่งใน 4 ข้อได้ คนที่ทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถคิดแก้ปัญหา สามารถรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ และรู้จักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในสังคมนั้น 
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จะสามารถช่วยพัฒนาการคิดเป็นให้เกิดขึ้นได้ โดยครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติจริงในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และเกิดกระบวนการคิด โดยการคิดนั้นควรส่งเสริมการใช้เหตุผล หลักคุณธรรมเป็นสำคัญ เพื่อให้รู้ว่าเขาเป็นใคร ทำอะไร จะทำอย่างไร ทำเพื่ออะไร จะได้ผลอย่างไร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวครูสามารถนำกระบวนการ "คิดเป็น" ซึ่งเป็นกระบวนการคิดที่มีการรวบรวมข้อมูลด้านต่าง ๆ ให้ครบก่อนการตัดสินใจ จึงน่าจะเป็นกระบวนการคิดที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตในยุคข่าวสารข้อมูลได้เป็นอย่างดี

 *************************************************************************************************
1.4      รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โมเดลซิปปา (CIPPA)  พัฒนาโดยทิศนา  แขมมณี
              หลักการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา ( CIPPA Model ) 
             หลักการจัดการเรียนการสอนโมเดลซิปปา เป็นหลักที่นำมาใช้จัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เสนอแนวคิดโดย รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี อาจารย์ประจำภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีจุดเน้นที่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งทางร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์
หลักการจัดของโมเดลซิปปา มีองค์ประกอบที่สำคัญ ประการ ได้แก่

        มาจากคำว่า Construct หมายถึง การสร้างความรู้    ตามแนวคิด การสรรค์สร้างความรู้ได้แก่ กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งทำให้ผู้เรียนเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเองกิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา
มาจากคำว่า Interaction หมายถึง การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
  ได้แก่ กิจกรรมที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล เช่น ครู เพื่อน ผู้รู้ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เช่น แหล่งความรู้ และสื่อประเภทต่าง ๆ กิจกรรมนี้ ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม
มาจากคำว่า Physical Participation หมายถึง การมีส่วนร่วมทางกาย
  ได้แก่ กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะต่าง ๆ
มาจากคำว่า Process Learning หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่าง
  ที่เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ได้แก่ กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนทำเป็นขั้นตอนจนเกิดการเรียนรู้ ทั้งเนื้อหาและกระบวนการ กระบวนการที่นำมาจัดกิจกรรม เช่น กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม กระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น กิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา
มาจากคำว่า Application หมายถึง การนำความรู้ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
  ได้แก่ กิจกรรมที่ให้โอกาสผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน กิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้หลายอย่างแล้วแต่ลักษณะของกิจกรรม

ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักโมเดลซิปปา
โมเดลซิปปามีองค์ประกอบสำหรับการจัดการเรียนการสอนที่สำคัญ 5 ประการ ครูสามารถเลือกรูปแบบ วิธีสอน กิจกรรมใดก็ได้ที่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามองค์ประกอบทั้ง 5 อีกทั้งการจัดกิจกรรมก็สามารถจัดลำดับองค์ประกอบใดก่อนหลังได้เช่นกัน และเพื่อให้ครูที่ต้องการนำหลักการของโมเดลซิปปาไปใช้ได้สะดวกขึ้น รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี จึงจัดขั้นตอนการสอนเป็น 7 ขั้น ดังนี้
1. ขั้นทบทวนความรู้เดิม  เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน
กิจกรรมในขั้นนี้ ได้แก่ การสนทนาซักถามให้ผู้เรียนบอกสิ่งที่เคยเรียนรู้ การให้ผู้เรียนเล่าประสบการณ์เดิม หรือการให้ผู้เรียนแสดงโครงสร้างความรู้ ( Graphic Organizer ) เดิมของตน
2. ขั้นแสวงหาความรู้ใหม่  เพื่อให้ผู้เรียนหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ
3. ขั้นศึกษาทำความเข้าใจความรู้ใหม่  และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม เพื่อให้ผู้เรียนสร้างความหมายของข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่ สรุปความเข้าใจแล้วเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
กิจกรรมในขั้นนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่มหรือกระบวนการแก้ปัญหา สร้างความรู้ขึ้นมา
4. ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
  เพื่ออาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ และขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น กิจกรรมนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนแต่ละคนแบ่งปันความรู้ความเข้าใจให้ผู้อื่นรับรู้และให้กลุ่มช่วยกันตรวจสอบความรู้ความเข้าใจซึ่งกันและกัน
5. ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้  เพื่อให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
กิจกรรมนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนสรุปประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย มโนทัศน์หลักและมโนทัศน์ย่อย ของความรู้ทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่แล้วนำมารวบรวมเรียบเรียงให้ได้ใจความสาระสำคัญครบถ้วน สะดวกแก่การจดจำ ครูอาจให้ผู้เรียนจัดเป็นโครงสร้างความรู้ ( Graphic Organizer ) ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยในการจดจำข้อมูลได้ง่าย
6. ขั้นแสดงผลงาน  เพื่อให้โอกาสผู้เรียนได้ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนด้วยการได้รับข้อมูลย้อนกลับจากผู้อื่น กิจกรรมนี้ ได้แก่ การให้ผู้เรียนแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนด้วยวิธีการ ต่าง ๆ เช่น จัดนิทรรศการ จัดการอภิปราย แสดงบทบาทสมมติ เขียนเรียงความ วาดภาพ แต่งคำประพันธ์ เป็นต้น และอาจมีการจัดประเมินผลงานโดยใช้เกณฑ์ที่เหมาะสม
      7. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้  เพื่อฝึกฝนให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจ และความชำนาญ   กิจกรรมนี้ ได้แก่ การที่ครูให้ผู้เรียนมีโอกาสแสดงวิธีใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเท่ากับส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ ในระยะแรกครูอาจตั้งโจทย์สถานการณ์ต่าง ๆ แล้วให้ผู้เรียนนำความรู้ที่มีมาใช้ในสถานการณ์นั้น

*******************************************************************************************
สรุป
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย
*************
1.     รูปแบบการจัดการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญ สถานการณ์ โดย สุมน อมรวิวัฒน์ รูปแบบการจัดการเรียนการสอนนี้ขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า การศึกษาที่แท้ควรสอดคล้องกับการดำเนินชีวิต ซึ่งต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งทุกข์ สุข ความสมหวังและความผิดหวังต่าง ๆ การศึกษาที่แท้ควรช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่ เผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น
2.    รูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธา และโยนิโสมนสิการ โดย สุมน อมรวิวัฒน์ รูปแบบการจัดการเรียนการสอนนี้พัฒนาขึ้นจากหลักการที่ว่า ครูเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถจัดสภาพแวดล้อม แรงจูงใจ และวิธีการสอนให้ศิษย์เกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้ การได้ฝึกฝนวิธีการคิดโดยแยบคายและนำไปสู่การปฏิบัติจนประจักษ์จริง โดยครูทำหน้าที่ เป็นกัลยาณมิตรช่วยให้ศิษย์ได้มีโอกาสคิด และแสดงออก อย่างถูกวิธี จะช่วยพัฒนาให้ศิษย์เกิดปัญญา และแก้ปัญหาได้ อย่างเหมาะสม
3.  รูปแบบการจัดการเรียนการสอนกระบวนการคิดเป็นเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมไทย โดย หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนากระบวนการคิด ให้ผู้เรียนสามารถคิดเป็น คือคิดโดยพิจารณาข้อมูล 3 ด้าน ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ข้อมูลสังคมและสิ่งแวดล้อม และข้อมูลทางวิชาการ เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตในสังคมไทยอย่างมีความสุข
4.   รูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (CIPPA Model) หรือรูปแบบการประสานห้าแนวคิด โดยทิศนา แขมมณี รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริง โดยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการ กลุ่มกระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และกระบวนการ แสวงหาความรู้
5.   รูปแบบการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (constructivism) สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์ โดยช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเข้าใจ จากการมีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเอง
6.    รูปแบบการจัดการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการ (Process Approach) สำหรับนักศึกษาไทยระดับอุดมศึกษา รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเขียนภาษาอังกฤษในระดับข้อความ (discourse) ได้ โดยข้อความนั้นสามารถสื่อความหมายได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ และเป็นข้อความที่ ถูกต้องทั้งหลักการใช้ภาษาและหลักการเขียน นอกจากนั้น ยังช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้กระบวนการเขียนใน การสร้างงานเขียนที่ดีได้ด้วย
7.  รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติสำหรับครูวิชาอาชีพ  รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่ทำ และเกิดทักษะสามารถที่จะทำงานนั้นได้อย่างชำนาญตามเกณฑ์ รวมทั้งมีเจตคติที่ดีและลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงานด้วย 

****************************************************************************************

สรุปเทคนิคการสอน
เทคนิค คือ กลวิธีต่างๆ ที่ใช้เสริมกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ หรือการกระทำใดๆ เพื่อช่วยให้กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ หรือการกระทำนั้นๆ มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น เทคนิคการสอน จึงหมายถึง กลวิธีต่างๆ ที่ใช้เสริมกระบวนการสอน ขั้นตอนการสอน วิธีการสอน หรือการดำเนินการทางการสอนใดๆ เพื่อช่วยให้การสอนมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ในการบรรยาย ผู้สอนอาจใช้เทคนิคต่างๆ ที่สามารถช่วยให้การบรรยายมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การยกตัวอย่าง การใช้สื่อ การใช้คำถาม เป็นต้น
*********************************
สรุปการทบทวน
                การทบทวนบทเรียนนับเป็นกระบวนการที่สำคัญมากต่อการเรียนเพราะเป็นการเสริมความเข้าใจ และช่วยจำให้แม่นยำยิ่งขึ้นควรทำดังนี้
   1.จัดเวลา ควรต่อจากการทำการบ้าน และพักกลางวันหลังจากรับประทานอาหารแล้ว หรือเวลาอื่นๆ เช่นก่อนครูเข้าสอน ,ชั่วโมงว่าง
   2. โน้ตย่อใจความสำคัญของบทเรียน การโน้ตย่อนอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับดูก่อนสอบแล้วยังเป็นการทบทวนไปในตัวด้วย       เพราะการจะย่อใจความสำคัญ ได้ต้องอ่านและต้องเขียนด้วยซึ่งทำให้จำได้แม่นยำกว่า การอ่านอย่างเดียว
   3. สำหรับวิชาคำนวณ ควรย่อเฉพาะ กฎ,ทฎษฎี ,นิยาม สูตร และหมั่นทำแบบฝึกหัดที่เรียนไปแล้วเป็นการทบทวนสูตรไปด้วย
   4. อ่านโน้ตย่อทุกเวลาที่ว่างพอจะอ่านได้ เช่นเวลาเช้าเมื่อมาถึงโรงเรียนแล้วยังไม่ถึงเวลาเรียน เวลาพักกลางวัน
 *******************************************




สรุปสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพแก่ผู้เรียน
         จากภาพแสดงให้เห็นว่าความสำคัญของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพโดยการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติตนในทางที่ดีคือการเปิดใจยอมรับฟังผู้อื่น มีความเห็นอกเห็นใจ มีทัศนคติที่ดี และมีความรับผิดชอบ จะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณค่าและเกิดกระบวนการทางความคิดแก่ผู้เรียนที่มีการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ และได้ผลลัพธ์จากการประเมินที่มีความน่าเชื่อถือ

*************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สัปดาห์ที่ 14 แผนการสอน

ดาวโหลดแผนการจัดการเรียนรู้   PDF ดาวโหลดสื่อการสอนเรื่องอินเทอร์เน็ต   PDF ...