ในศตวรรษที่
21
การเรียนแบบท่องจำ และการเรียนเพื่อรู้แต่ข้อมูล (information)
เพียงอย่างเดียว จะมีประโยชน์น้อยลงทุกที หรือเรียกได้ว่า
ความรู้จาก 1i ไม่เพียงพอ แต่ต้องปรับเป็น 4i คือ
การเรียนรู้ตลอดชีวิต
(Lifelong Learning)
แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตในฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์การศึกษา
เกิดขึ้นเมื่อประมาณกว่า 30 ปีมาแล้ว ภายใต้ความพยายามของ OECD
UNESCO และสภายุโรป (Council of Europe) เป็นการสนองต่อความบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีต
ในขณะที่บุคคลเรียนรู้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
โอกาสทางการศึกษามีขีดจำกัดในช่วงเริ่มแรกของชีวิต
ที่ครอบงำโครงการศึกษาที่เป็นทางการ (Formal Education) จึงมีความจำเป็นที่จะให้โอกาสที่สองแก่คนที่ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น
การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่เพียงหมายถึงการศึกษาผู้ใหญ่ (Adult
Education) เท่านั้น
แต่ยังครอบคลุมการเรียนรู้ทุกรูปแบบตลอดช่วงชีวิตอีกด้วย
บทความชิ้นนี้นำเสนอความหมายเชิงนโยบายที่ตรงประเด็นของแนวคิด “การเรียนรู้ตลอดชีวิต”
อะไรคือคุณลักษณะพิเศษของแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตต้องมีมุมมองแบบองค์รวม (Comprehensive
View) ที่ครอบคลุมกิจกรรมการเรียนรู้ทุกด้าน
โดยมีเป้าหมายที่จะปรับปรุงความรู้และความสามารถในการแข่งขันของบุคคล
ที่ปรารถนาเข้าร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้คุณลักษณะ 4 ประการของแนวคิดการเรียนรู้
ได้แก่
1. มีมุมมองอย่างเป็นระบบ สิ่งนี้คือคุณลักษณะที่พิเศษที่สุดของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
กรอบแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตของอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน
(Supply) ของโอกาสการเรียนรู้
ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่มีความเชื่อมโยงกัน
ซึ่งครอบคลุมวงจรชีวิตทั้งหมด และประกอบด้วยรูปแบบ ต่าง ๆ ของการเรียนรู้ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
2. มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการเปลี่ยนจากมุ่งเน้นด้านอุปทาน
(Supply) เป็นศูนย์กลาง ในรูปแบบการจัดการศึกษาเชิงสถาบันที่เป็นทางการ
ไปสู่ด้านอุปสงค์ (Demand) ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก
3. มีแรงจูงใจที่จะเรียน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ที่มีความต่อเนื่องตลอดชีวิต
ทั้งนี้ต้องมุ่งเน้นที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ที่ตนเองเป็น
ผู้ชี้นำ
4. มีวัตถุประสงค์ของนโยบายการศึกษาที่หลากหลาย มุมมองวงจรชีวิตที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการศึกษาที่หลากหลาย อาทิ
การพัฒนาบุคลิกภาพ การพัฒนาความรู้ วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
และการจัดลำดับความสำคัญของวัตถุประสงค์เหล่านี้ อาจเปลี่ยนไปใน แต่ละช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่ง
ทำไมการเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงมีความสำคัญ
พลังผลักดันที่สำคัญทางสังคม
เศรษฐกิจจำนวนมากสนับสนุนแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตกระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของการทำงานและตลาดแรงงานและโครงสร้างอายุประชากร
เป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อความจำเป็นที่จะต้องมีการยกระดับทักษะการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง
ความต้องการก็เพื่อ Treshold ที่ยกระดับของทักษะเช่นเดียงกับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในธรรมชาติของทักษะ
แรงกระตุ้นของกิจการเพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นส่งผลต่อสภาพการทำงาน
มีแนวโน้มที่จะมีการจ้างงานระยะสั้นในตลาดสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของตลาดได้ง่าย
และวัฎจักรสินค้าที่สั้นลง งานอาชีพลดลงและบุคคลประสบกับความเปลี่ยนแปลงในเรื่องงานดีขึ้นในช่วงชีวิตทำงาน
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างกว่างขวางกำลังคุกคามขั้วใหม่ระหว่างสิ่งที่ความรู้มีและสิ่งที่ความรู้ไม่มี
ในทางกลับกันสิ่งนี้อาจคุกคามรากฐานของประชาธิปไตยด้วยโอกาสในการฝึกอบรมในภายหลังนั้น
ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของแต่ละบุคคลที่ข้ามาสู่การจ้างงาน
และโอกาสการเรียนรู้เปิดกว้างแก่ ผู้ว่างงาน ลูกจ้างในสถานประกอบการขนาดเล็ก
และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมกลับยิ่งน้อยกว่าลูกจ้างในสถานประกอบการขนาดใหญ่มาก
ความไม่เท่าเทียมกันนี้ (Disparities) สะท้อนช่องว่างรายได้ระหว่างผู้มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
และผู้ที่ไม่มีวุฒิดังกล่าว และช่องว่างนั้นยิ่งกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
การลงทุนในการศึกษาแะการฝึกอบรมที่จะสนองต่อยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีวิตก็เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางสังคมและเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนบุคคลผู้ประกอบการ
และเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว
สำหรับบุคคลแล้วการเรียนรู้ตลอดชีวิตมุ่งเน้นที่การสร้างสรรค์ การริเริ่ม
และความรับผิดชอบ ซึ่งส่งผลให้เกิดการตอบสนองต่อตนเอง
งานที่ดีขึ้นรายได้ที่เพิ่มขึ้น นวัตกรรมใหม่ ๆ และเพิ่มความสามารถในการผลิตมากขึ้นด้วย
ทักษะและศักยภาพของแรงงานเป็นปัจจัยหลักในผลงานและความสำเร็จของสถานประกอบการ
สำหรับเศรษฐกิจ แล้วมีความสัมพันธ์ที่สนับสนุนกันระหว่างการได้รับการศึกษาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอะไรคือผลเชิงนโยบายของแนวคิดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าสู่และผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
นอกเหนือจากสิ่งที่เป็นทางการ
ดังนั้นกิจกรรมการเรียนรู้ของวัยรุ่นและผู้ใหญ่จึงอยู่นอกเหนือขอบเขตที่มีการบันทึกไว้
นอกจากการวัดเชิงปริมาณแล้วประเด็นเชิงคุณภาพและความก้าวหน้าของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบโครงสร้างเชิงสถาบัน เชิงกฎหมาย และเชิงนโยบาย
เอื้อต่อการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ดีอย่างไร
จะนำยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีวิตไปสู่การปฏิบัติได้อย่างไร
การเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง
ที่จะบรรลุผลได้ก็ต้องสร้างความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและต้องใช้เวลายาวนาน
ในขณะที่แนวคิดนี้ต้องได้รับการสนับสนุนและดำเนินการอย่างจริงจังจากฝ่ายการเมือง
ที่จะต้องบรรจุเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล
มีหลักฐานข้อเท็จจริงน้อยมากที่ชี้ให้เห็นว่ามีความจริงใจที่จะสร้างการเรียนรู้ที่เป็นระบบ
กรอบแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ให้ทิศทางที่ชัดเจนในการปฏิรูปนโยบาย
กรอบแนวคิดนี้เสนอให้มีการดำเนินการที่เป็นระบบใน 5 เรื่อง
ดังนี้
1. ปรับปรุงการเข้าถึง คุณภาพ
และความเป็นธรรมในการเรียนรู้
2. สร้างรากฐานที่มั่นคงด้านทักษะสำหรับทุกคน
3. ให้ความสำคัญกับทุกรูปแบบของการเรียนรู้
ไม่เพียงเฉพาะการศึกษาที่เป็นทางการ เท่านั้น
4. จัดสรรทรัพยากร และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรจากทุกภาคส่วน สนับสนุนการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นทุกช่วงเวลาในชีวิต
5. ความร่วมมือของทุกภาคส่วน
(i)magination
– จินตนาการ
หมายถึง การคิดสร้างภาพในจิตใจหรือพลังของจิตที่สร้างภาพขันใหม่ภายในใจ
ให้น่าพอใจกว่า
สวยกว่า เป็นระเบียบกว่าหรือร้ายกาจกว่าสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป
จินตนาการทำให้เกิดภาพขึ้นในสำนึกเรียกว่า “จินตภาพ”
จินตภาพ เหล่านี้เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ได้นับสะสมอยู่ภายใน
จินตนาการเป็นผลมาจากอวัยวะสัมผัสของมนุษย์ปะทะกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เกิดเป็นประสบการณ์
สั่งสมแล้วจึงประยุกต์โดยการเพิ่มเติม
ตัดทอนหรือผสมผสานประสบการณ์ๆถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปะหรือเกิดจินตภาพนึกคิดไปเอง
อาจจะมีหรือไม่มีในโลกนี้ก็ได้
เช่น บทกวี นวนิยาย ใต้ท้องทะเลลึก ใต้ดินคนป่า โลกในอนาคต ความฝันหรือการเขียนภาพ
(i)nspiration – แรงดลใจ
หมายถึง พลังอำนาจในตนเองชนิดหนึ่ง ที่ใช้ในการขับเคลื่อนการคิดและ การ กระทำใด ๆ
ที่พึงประสงค์ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้ตามต้องการ
โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งจูงใจภายนอกก่อให้เกิด แรงจูงใจ ขึ้นภายในจิตใจเสียก่อน
เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการคิดและการกระทำในสิ่งที่พึงประสงค์เหมือน
เช่นปกติวิสัยของมนุษย์ ส่วนใหญ่ ไม่ว่าสิ่งที่ตนกระทำนั้นจะยากสักเพียงใด
ตนก็พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายสู่ความสำเร็จที่ต้องการ
(i)nsight – ความเข้าใจลุ่มลึก
หมายถึงความเข้าใจอย่าลึกซึ้งและท่องแท้
(i)ntuition – ญานทัศน์ การหยั่งรู้
วิถีแห่งญาณทัศน์
โดยสรุปจะได้ดังนี้
ญาณ คือความรู้ มีสองวิถีคือ "รู้จัก รู้จริง รู้แจ้ง" กับ "รู้ลึก รู้รอบ รู้ละ"
ญาณ คือความรู้ มีสองวิถีคือ "รู้จัก รู้จริง รู้แจ้ง" กับ "รู้ลึก รู้รอบ รู้ละ"
ทัศนะ
คือความเห็น มีสามวิถีคือ ความเห็นที่เกี่ยวกับจิต มีรู้สึก นึก คิด
ความเห็นที่เกี่ยวกับ ตน หรือตัวสามตัว มีตัวที่คนอื่นคิด ตัวที่เราคิด
และตัวจริงของเรา
เพราะเรากำลังเจอโจทย์ท้าทายแห่งยุค
ในการพัฒนาคนให้พร้อมสำหรับ “งานที่ยังไม่มีในวันนี้
โดยต้องใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่เกิด เพื่อแก้ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร”
ทัศนคติ
เป็นความสัมพันธ์ที่คาบเกี่ยวกันระหว่างความรู้สึก และความเชื่อ
หรือการรู้ของบุคคล กับแนวโน้มที่จะมี พฤติกรรมโต้ตอบ
ในทางใดทางหนึ่งต่อเป้าหมายของ ทัศนคติ
อุปนิสัย
หมายถึงความประพฤติที่เคยชินเป็นพื้นมาในสันดาน
ความประพฤติที่เคยชินจนเกือบเป็นนิสัย
ทักษะ หมายถึง ความชัดเจน
และความชำนิชำนาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งบุคคลสามารถสร้างขึ้นได้จากการเรียนรู้
ความรู้ (Knowledge) ตามความหมายที่มีผู้ให้นิยามไว้หลายประเด็นหมายถึง
สารสนเทศที่นำไปสู่การปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง ความคิดเห็น
หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด
หรือข้อมูลอื่นๆซึ่งอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการนำสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการ
**ทักษะแห่งโลกอนาคต**
ความคิดสร้างสรรค์ หรือ Creative thinking คือ
ความสามารถในการผลิตสิ่งที่เป็นต้นแบบ แตกต่าง และเหมาะสมกับการใช้ประโยชน์
ตั้งแต่ระดับบุคคลคือ
การใช้ความสามารถในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของตัวเองในแบบที่แตกต่างไปจากเดิม
ซึ่งนำไปสู่การสร้างสรรค์ในสังคมคือ ความสามารถในการผลิตต้นแบบที่ไม่เหมือนคนอื่น
ทำให้เกิดงานวิจัยใหม่ ผลิตสิ่งของใหม่ งานศิลปะชิ้นใหม่ โครงการใหม่ๆ ในสังคม ฯลฯ
ซึ่งความคิดสร้างสรรค์นี้ สามารถสร้างได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก
การใฝ่รู้ (Putting effort persistently) หมายถึง
คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน
แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
เด็กที่เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ จึงเป็นเด็กที่มีความตั้งใจ
มีความเพียรพยายามในการเรียน สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ
ชอบแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ
สามารถเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม มีการบันทึกความรู้ วิเคราะห์ข้อมูล
สรุปเป็นองค์ความ รู้ นำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น สามารถถ่ายทอด เผยแพร่
และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
สื่อสารให้ ?เข้าใจ? - ชัดเจน เจาะจง ตรงประเด็น คำว่า การสื่อสาร (communications) มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า communisหมายถึง ความเหมือนกัน หรือ ร่วมกัน ดังนั้น
ความสำเร็จของการสื่อสารจะเกิดขึ้นเมื่อ ทั้งสองฝ่าย ?เข้าใจตรงกัน? และตอบสนองในทิศทางที่พึงประสงค์ ผู้นำจึงต้องตระหนักว่า
แต่ละคนมีความสามารถในการรับรู้แตกต่างกัน อาจทำให้ตีความผิด เข้าใจผิด
จับประเด็นผิด จึงต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารให้ ชัดเจน ตรงประเด็น
ไม่เยิ่นเย้อคลุมเครือ ด้วยภาษาง่าย ๆ เข้าสู่ประเด็นสำคัญที่สุดได้อย่างรวดเร็ว
สื่อสารให้ ?แตะใจ? ?
เป็น ?ผู้ให้? มากกว่า ?ผู้รับ? ผู้นำต้องสามารถส่งผ่านแนวคิด
วิสัยทัศน์ สร้างความคาดหวัง และสร้างแรงบันดาลให้ทุกคนอยากลงมือทำ
ด้วยความเต็มใจที่จะทำ ไม่รู้สึกเหมือนถูกสั่ง หรือถูกบังคับให้ฝืนใจทำ ดังนั้น
สิ่งสำคัญในการสื่อสาร คือ ต้องสื่อสารเพื่อประโยชน์ของผู้รับ
ข้อความที่สื่อสารสามารถเข้าถึงความต้องการและความคาดหวัง
ต้องสามารถพูดกับอารมณ์และแรงบันดาลใจของคนที่สื่อสารได้
สื่อสารให้ ?ประทับใจ? ?
ใกล้ชิดและเป็นกันเองผู้นำต้องทำให้รู้สึกถึงความใกล้ชิดและเป็นกันเอง
ทำให้การสื่อสารเป็นเหมือนการพูดคุยส่วนตัวมากที่สุด เช่น
ใช้คำพูดแบบไม่เป็นทางการ การเรียกชื่อ การทักทาย การถามไถ่ โดยจำไว้ว่า
ยิ่งเราให้การสนทนามีความเป็นส่วนบุคคลมากเท่าใด
ประสิทธิภาพจะยิ่งสูงเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
สื่อสารให้ ?จริงใจ? ?
รักษาความไว้วางใจ คำแนะนำประการสำคัญสำหรับผู้นำคือ ?อย่าพูดไม่จริง? ผู้นำต้องสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้น
ทุกเรื่องที่สื่อสารต้องเป็นความจริง มาจากความจริงใจ รักษาสัญญา พูดจริงทำจริง
ยอมรับความจริง ต้องไม่ให้คนรู้สึกว่า เรานั้นหลอกลวง ล่อหลอก ไม่จริงใจ
ไม่รักษาคำพูด แก้ตัว โยนความผิด ฯลฯ ผู้นำต้องสร้างและรักษาความไว้วางใจ
โดยตระหนักว่า ถ้าพลาดเพียงครั้งเดียว อาจสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจตลอดกาล
สื่อสารให้ ?เปิดใจ? ?
รู้จัก เงียบ และ ฟัง บุคคลหนึ่งกล่าวไว้ว่า ?นักสื่อสารที่ยิ่งใหญ่มักจะเป็นนักฟังที่ยิ่งใหญ่ด้วย? ผู้นำต้องรู้ว่า เมื่อไหร่จึงควรพูด เมื่อไหร่จึงควรฟัง
โดยยินดีเปิดใจกว้างรับฟังเสียงตอบกลับ ข้อเสนอแนะ ความคิดเห็นคัดค้าน
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อให้เข้าใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ไม่ยึดติดในความคิดของตนเอง
ความอดทน หมายถึง
ความยืนหยัดไม่ท้อถอยในการทำความดี แม้ว่าจะมีอุปสรรคใด มาขวางกั้น
ความอดทนมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1.เมื่อถูกบีบคั้นถูกเยอะเย้ยก็ต้องอดทนไม่ยอมล้มเลิก
2.เมื่อถูกยั่วเย้า ก็ต้องอดใจ ไม่ลุ่มหลง
การคิดเชิงวิพากษ์ หมายถึง ความตั้งใจพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
โดยไม่เห็นคล้อยตามข้อเสนอ ไม่ด่วนสรุปการเห็นคล้อยตาม
เป็นการตั้งคำถามท้าทายหรือโต้แย้งสมมุติฐานที่อยู่เบื้องหลัง
พยายามเปิดกว้างทางความคิดออกสู่ความแตกต่างในด้านต่าง ๆ
มากขึ้นให้ได้ประโยชน์มากกว่าเดิม
หลักการคิดเชิงวิพากษ์ ได้แก่...
1. ให้สงสัยไว้ก่อน.....อย่ารีบเชื่อ
2. เผื่อใจไว้......อาจจะจริงหรืออาจจะไม่จริงก็ได้
3. เป็นพยานฝ่ายมาร.....ตั้งคำถามซักค้าน
สรุป :การคิดเชิงวิพากษ์จะเห็นกันมากในมหาวิทยาลัย
เช่น การวิพากษ์เรื่องหลักสูตร การวิพากษ์เรื่องการทำวิทยานิพนธ์
อาจหมายรวมถึงการประชุมที่มีการถกปัญหาเรื่องต่าง ๆ
ที่ในที่ประชุมจะต้องมีการพิจารณาร่วมกันเพื่อให้ได้ผลสรุปร่วมกัน
เนื่องจากจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ถกปัญหากันด้วยเหตุด้วยผล
ผลสรุปก็จบด้วยการฟังเหตุผล
การคิดเชิงวิพากษ์
จะคล้ายกับหลักวิชาเรขาคณิตในสมัยก่อน ซึ่งตั้งสมมติฐานไว้
แล้วมีการพิสูจน์ให้ได้ผลเป็นไปตามที่ตั้งไว้ (ซ.ต.พ. = ซึ่งต้องพิสูจน์)...
หรืองานวิจัยในปัจจุบันนั่นเอง...แต่งานวิจัยจะเป็นรูปธรรมมากกว่า คือ
เป็นไปตามระบบ มีขั้นตอน กระบวนการและมีการเสนอแนะ
นำไปใช้ประโยชน์...ซึ่งกว้างกว่า การคิดเชิงวิพากษ์...
แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ
และประสบการณ์ ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้
แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง
เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
การเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือ การเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (อังกฤษ: Student-centered learning หรือ Child-centered learning) เป็นวิธีการซึ่งช่วยปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
อันก่อให้เกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการเรียนรู้นี้จะช่วยเพิ่มบทบาทของผู้เรียนภายในห้องเรียน
และลดบทบาทการบรรยายหน้าห้องเรียนลง
ซึ่งผู้สอนจะปรับบทบาทจากการบรรยายเป็นหลักเป็นการเป็นผู้อำนวยความสะดวก
โดยจะต้องเตรียมสภาพห้องเรียนและวิธีการสอนที่เอื้อต่อแนวคิดนี้ ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยให้มีพัฒนาการของผู้เรียนสูงที่สุด
ที่มา
:
https://tdri.or.th/2017/12/thinkx2-225/ ออนไลน์วันที่ 6 มีนาคม 2561
https://www.gotoknow.org/posts/451728 ออนไลน์วันที่ 6 มีนาคม 2561
https://tdri.or.th/2017/12/thinkx2-225/ ออนไลน์วันที่ 6 มีนาคม 2561
https://www.gotoknow.org/posts/451728 ออนไลน์วันที่ 6 มีนาคม 2561
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น